26 มี.ค.ศธ.ชี้ชะตา ขรก.ซี 8 “ประธานสืบสวนฯ”ชี้ช่องโหว่ระบบโอนเงินแค่มีเลขบัญชีก็โอนได้ เร่งประสานกรุงไทยขอสำเนาเบิกจ่าย งานนี้มีคน 2 กลุ่มต้องรับผิดชอบ “ผู้ประมาทเลินเล่อ-ผู้ทุจริต” พบปี 52 โอนเข้าบัญชีสถานศึกษาซึ่งผิดระเบียบกองทุนฯ ไล่บี้สถานศึกษาส่งต่อบัญชีเด็กอย่างไร
วันที่ 20 มี.ค.2561 นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต กล่าวถึงความคืบหน้าในการสืบสวนฯ ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ากองทุนเสมาพัฒนาชีวิต เปิดบัญชีไว้ 2 บัญชี โดยบัญชีที่ 1 ชื่อ “กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต” เป็นบัญชีฝากประจำซึ่งเป็นเงินประเดิมกองทุน 600 ล้านบาท ให้อำนาจคณะกรรมการกองทุนเสมาฯ ตัดสินใจว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปฝากที่สถาบันการเงินใด ซึ่งที่ผ่านมาจะนำไปฝากไว้กับธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง โดยบัญชีนี้จะระบุว่าให้ใช้แค่ดอกผลปัจจุบันฝากไว้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนบัญชีที่ 2 ชื่อ “กองทุนเสมาพัฒนาชีวิตเพื่อใช้จ่าย” เป็นบัญชีเงินฝากประจำ อยู่ที่ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ เช่นกัน โดยบัญชีนี้จะเป็นบัญชีที่รับเงินดอกเบี้ยจากบัญชี เงินสมทบ หรือเงินบริจาคต่างๆ เพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการเสมาพัฒนาชีวิต เพราะฉะนั้น การจ่ายเงินทุกครั้งจะต้องออกจากบัญชีส่วนที่ 2 เท่านั้น ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้ข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงมีการเบิกจ่ายเงินออกไปจากทั้ง 2 บัญชีเพราะโดยหลักการเป็นไปไม่ได้
นายอรรถพล กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ยังไม่สามารถตรวจสอบชื่อเจ้าของบัญชีผู้รับโอนเงินได้ทั้งหมด เนื่องจากธนาคารเปลี่ยนใช้ระบบ GIRO ซึ่งเป็นโปรแกรมเบิกจ่ายเงินที่ธนาคารคิดขึ้น โดยไม่มีการระบุชื่อผู้รับโอน มีแค่เลขบัญชีและจำนวนเงินที่ธนาคารส่งไปให้เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบโดยไล่ดูย้อนหลังคาดว่าน่าจะมีบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องมากกว่า 22 บัญชีที่ได้แจ้งความไปก่อนหน้า และยังมีบางบัญชีที่ไม่สามารถหาเจ้าของได้ หรือปิดบัญชีไปแล้วอีกหลายสิบบัญชี และในบรรดารายชื่อเจ้าของบัญชีที่ตรวจสอบพบว่าไม่เกี่ยวข้อง บางคนเป็นเจ้าของถึง 10 บัญชี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อมูลบางรายการขาดความชัดเจน จะรายงานถึง นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ. ประสานไปยังธนาคารกรุงไทย ขอสำเนาการเบิกจ่ายเงิน เสตทเมนท์ทั้งหมด รวมทั้งจะเสนอขอตั้งกรรมการเพิ่มเติม เนื่องจากมีข้อมูลที่ต้องตรวจสอบจำนวนมาก ต้องดูรายละเอียดเป็นรายปี จำนวนคนที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ อีกทั้ง ต้องการเร่งสรุปผลการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้องให้ทันวันที่ 30 มี.ค.นี้ เนื่องจากพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 กำหนดว่าการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ผู้เกษียณอายุราชการไปแล้ว จะต้องตั้งไม่เกิน 180 วันนับจากวันที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งกรณีนี้อาจจะมีข้าราชการที่เพิ่งเกษียณฯเข้าไปร่วมด้วย
“งานนี้ต้องมีคนรับผิดชอบเบื้องต้นแบ่งเป็น 2กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่ประมาทเลินเล่อ และกลุ่มผู้ทุจริต ซึ่งกรณีผู้บริหารระดับสูงอาจเข้าข่ายประมาทเลินเล่อ ขณะที่กลุ่มผู้ทุจริต ผมคิดว่าไม่ได้ทำคนเดียว แต่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่ เพราะเรื่องแบบนี้คนยิ่งมาก ความยิ่งแตกเร็วคงไม่ปล่อยยาวมาถึง10ปีได้ อย่างไรก็ตาม มีอีกประเด็นที่จะเสนอให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ สั่งการขยายประเด็นการสืบสวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะการโอนเงินเข้าบัญชีสถานศึกษา เพราะตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต พ.ศ.2550 กำหนดให้โอนเงินเข้าบัญชีนักเรียนเป็นรายบุคคล แต่จากข้อมูลเช่น ปี 2552 พบว่าเป็นการโอนเข้าสถานศึกษา ซึ่งตรงนี้ต้องรายงานมาว่าโอนให้เด็กอย่างไร ซึ่งถ้าสามารถเคลียร์เรื่องนี้ได้เร็วก็จะเป็นการสร้างความตระหนัก ทำให้เกิดความระมัดระวัง ในการตรวจสอบและติดตามได้มากขึ้น”นายอรรถพล กล่าว
ด้านนายการุณ กล่าวว่า ตนได้ทำหนังสือไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(อ.ก.พ.สป.) เชิญประชุมในวันที่ 26 มี.ค.นี้ เพื่อมาพิจารณาสอบสวนวินัยร้ายแรงข้าราชการคนดังกล่าว ซึ่งโทษจะมีเพียงสองกรณีเท่านั้นคือ ปลดออก หรือ ไล่ออก
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ