วันอังคาร ที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 21.16 น.
วิกฤตสุขภาวะวัยรุ่นไทยน่าห่ว งบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้าเยาวชน อึ้ง เด็ก ป.5 โรงเรียนภาคอีสานสูบุหรี่ไฟฟ้าถึง 20 คน ห่วงครู พ่อแม่ รู้ไม่เท่าทันบุหรี่รูปแบบใหม่ แนะรัฐคงมาตรการแบน ปราบปรามเข้มงวด สร้างบรรทัดฐานสังคมใหม่ ไม่ยอมรับ สูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า
วันที่ 1 พ.ย.65 ที่โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ ภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบในประเทศไทย จัดเสวนาวิชาการ “บุหรี่ไฟฟ้า วิกฤตสุขภาวะวัยรุ่นไทย” โดย ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มวัยรุ่นน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มนักสูบหน้าใหม่และวัยรุ่นหญิงที่เริ่มเข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 พ.ศ.2562-2563 พบวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 5.3% สูบเป็นประจำ 2.9% ที่น่าตกใจคือ 30% ของวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำเป็นผู้หญิง บุหรี่ไฟฟ้าจึงถือเป็นภัยร้ายตัวใหม่ในวัยรุ่น เพราะทำให้วัยรุ่นที่ไม่นิยมสูบบุหรี่ เช่น ผู้หญิง เข้ามาสนใจสูบบุหรี่ไฟฟ้าจนสุดท้ายนำไปสู่การเสพติดสิ่งเสพติดอื่นๆ เช่น กัญชา ยาบ้า โคเคน เฮโรอีน ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย
นางฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการโครงการครอบครัวปลอดบุหรี่ กล่าวว่า ขณะนี้พบการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กระดับประถมศึกษาในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่สูบเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าแบบใหม่ๆ เช่น พอต ไม่ใช่บุหรี่ไฟฟ้า ไม่อันตรายและไม่เสพติด ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองยังขาดความรู้และไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์พวกนี้เป็นบุหรี่ไฟฟ้า เพราะรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายอุปกรณ์การเรียนของเด็ก เช่น ปากกา น้ำยาลบคำผิด เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย เพราะวางขายในตลาดนัด ทางออนไลน์ และบางพื้นที่มีการแจกบุหรี่ไฟฟ้าให้วัยรุ่นลองใช้อีกด้วย อีกทั้งข้อมูลที่ได้จากการทำงานกับสถานศึกษา การเยี่ยมบ้านของคุณครู พบว่ามีผู้ปกครองสูบบุหรี่ในบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็ก ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าด้วย จึงอยากให้มีการรณรงค์เรื่องนี้ในครอบครัวอย่างจริงจัง
“บุหรี่ไฟฟ้าออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูทันสมัย มีรสชาติมากเกือบ 20,000 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นรสขนมหวาน ลูกอม หมากฝรั่ง ผลไม้ น้ำอัดลม ชาเขียว นมเปรี้ยว ที่ล้วนเป็นรสชาติที่เด็กและวัยรุ่นชื่นชอบ และยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่อันตราย สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป้าหมายสำคัญของบุหรี่ไฟฟ้าคือเด็กและเยาวชน จึงขอเรียกร้องไปยังบริษัทที่จำหน่ายขนมหวาน น้ำอัดลม ชาเขียว นมเปรี้ยว เช่น โค้ก แฟนต้า หรือโออิชิ ให้ออกมาดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าที่นำโลโก้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาใช้โฆษณาแอบอ้างเพื่อขายบุหรี่ไฟฟ้าให้เด็กและเยาวชน” นางฐาณิชชา กล่าว
รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทยระดับมัธยมต้นอายุ 11-16 ปี (อายุเฉลี่ย 13 ปี) พบสาเหตุสำคัญ 5 ประการ ที่ทำให้เด็กไทยติดบุหรี่ไฟฟ้า 1.มีพ่อแม่หรือคนในครอบครัวสูบบุหรี่ไฟฟ้า 2.มีเพื่อนสูบบุหรี่ไฟฟ้า 3.เพื่อนและคนรอบตัวมองว่าการสูบบุหรี่เป็นเรื่องปกติ 4.เคยสูบบุหรี่ธรรมดามาก่อน 5.เข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย โดยเด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่ใด ๆ มาก่อน เมื่อเริ่มลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าจนติดต้องสูบเป็นประจำ ภายในระยะเวลา 1 ปี จะมีแนวโน้มที่จะเริ่มลองสูบบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้น 5.4 เท่า และมีแนวโน้มที่จะติดทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่ธรรมดา (dual use) เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า gateway effects ของบุหรี่ไฟฟ้า หรือ ประตูสู่สารเสพติดอื่นๆ รวมถึงบุหรี่ธรรมดา
รศ.ดร.พญ.เริงฤดี กล่าวต่อว่า สถาบันวิจัยอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาข้อมูลการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนในกรุงเทพฯ อายุ 14-17 ปี พบว่าเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 72% มีการใช้สารเสพติดอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สุรา กัญชา บุหรี่ และงานวิจัยในต่างประเทศพบว่ายิ่งเด็กเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าตอนอายุยิ่งน้อย ยิ่งเสี่ยงที่จะติดสารเสพติดอื่น ๆ มากขึ้น บุหรี่ไฟฟ้าจะก่อให้เกิดปัญหานำไปสู่การใช้สารเสพติดต่าง ๆ แล้ว ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสารเสพติดจะส่งผลโดยตรงต่อสมองและระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชนที่สมองจะเจริญเติบโตไม่เต็มที่ พิษของนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าจะส่งผลให้เด็กที่สูบมีอาการหงุดหงิดง่าย เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ความจำแย่ลง ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น และมีภาวะซึมเศร้า จากข้อมูลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 พ.ศ.2562-2563 พบเด็กและเยาวชนไทยอายุ 10-19 ปี ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ากว่าครึ่งหรือ 53% มีภาวะเสี่ยงโรคซึมเศร้าด้วยและเด็กที่เคยลองสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 2 เท่า
ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวว่า ปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก และสังคม และยังส่งผลต่อปัญหาในครอบครัว จึงขอแนะนำการป้องไม่ให้ลูกยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติดอื่น ๆ เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังค้นหาตัวตนให้กับชีวิต ทำให้ลองสิ่งใหม่ ๆ ที่ผ่านเข้ามาโดยเฉพาะผ่านทางเพื่อน ซึ่งภาวะที่สมองของวัยรุ่นยังเติบโตไม่เต็มที่จึงทำให้การตัดสินใจ การยับยั้งชั่งใจต่าง ๆ ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ การแสดงความเข้าใจ เปิดใจรับฟังของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีความรู้สึกว่าเขาสามารถคุยขอคำปรึกษากับพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่ การเงียบเฉยหรือใช้คำพูดต่อว่าหรือขู่เรื่องอันตรายที่จะเกิดในอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้ผลเพราะวัยรุ่นมักจะสนใจจดจ่ออยู่เฉพาะเรื่องในปัจจุบันมากกว่าและอาจนำไปสู่การต่อต้านจนอาจจะนำไปสู่การมีพฤติกรรมเสี่ยงด้านอื่น ๆ ที่อาจจะรุนแรงกว่า
“หากมีลูกสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยากแนะนำให้พ่อแม่คุยกับลูกด้วยการรับฟัง ทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่สูบว่ามันตอบสนองความต้องการอะไรในชีวิตของลูก ลูกมีความคิดความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร โดยบรรยากาศการพูดคุยของพ่อแม่รับฟังด้วยความอยากรู้ อยากทำความเข้าใจ ไม่ใช่แบบตั้งใจมาสั่งสอน จับผิด พ่อแม่สามารถส่งสัญญาณให้ลูกรับรู้ถึงความเป็นห่วง อยากให้ลดหรือเลิกสูบ ถ้าพบว่าลูกก็มีความตั้งใจลดหรือเลิกสูบ ก็วางแผนร่วมกันในการลดหรือเลิกสูบได้อย่างไร ในขณะเดียวกันพ่อแม่ควรต้องเติมความรู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าให้ตัวเองด้วย” ผศ.พญ.จิราภรณ์กล่าว
นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า ยท.ได้ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่เกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนอย่างมาก ที่น่าตกใจคือระบาดไปถึงกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดยพบเด็กนักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 20 คน โดยเฉพาะเยาวชนนักกีฬาฟุตบอลแทบทุกที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า หากไปที่สนามฟุตบอลจะสังเกตเห็นได้ว่านักกีฬาเยาวชนเหล่านี้มีการพกบุหรี่ไฟฟ้าแทบทุกสนาม นอกจากนี้การตรวจค้นบุหรี่ไฟฟ้าของครูในโรงเรียนยังมีข้อจำกัด เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้ามีการพัฒนารูปแบบต่างๆ ทำให้ครูรู้ไม่เท่าทันว่าสิ่งของที่นักเรียนพกมาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า
“กลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้ามักอ้างว่า ไม่สนับสนุนการขายบุหรี่ไฟฟ้าให้เด็ก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ไม่เคยแจ้งเบาะแสผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้เด็กและเยาวชน ซ้ำยังเคยเข้าร่วมกิจกรรมกับธุรกิจขายบุหรี่ไฟฟ้าด้วย จึงอยากขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ยืนยันมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีความคุ้มค่าใด ๆ เลย รายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้าเทียบไม่ได้กับสุขภาพของเด็กและเยาวชน ในอนาคตรัฐบาลอาจต้องจัดสรรงบประมาณค่ารักษาพยาบาลโรคจากบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การจำหน่ายหรือแลกเปลี่ยนบุหรี่ รวมทั้งบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปียังมีความผิดตามมาตรา 26 พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ด้วย” นายพชรพรรษ์ กล่าว
ภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบอยากฝากถึงรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นและเร่งดำเนินการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสิ่งผิดกฎหมายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ทุกคนควรช่วยกันทำให้การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติในสังคม มีการวางกติกาสังคมเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์หลายแห่งในต่างประเทศ ประกาศนโยบายไม่รับคนสูบบุหรี่เข้าทำงาน หากสูบต้องเลิกภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยจัดบริการเลิกสูบบุหรี่รองรับ ทั้งนี้ มีบริษัทประกันบางแห่งเริ่มมีกฎไม่รับทำประกันสุขภาพให้แก่คนสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังเด็กและเยาวชนไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำลายสุขภาพเหล่านี้