-- advertisement --


Ashley Pearce มีลูกสาวที่พร้อมจะเข้าโรงเรียนอนุบาลที่โรงเรียนของรัฐบาลในเขตการศึกษา Montgomery County รัฐแมริแลนด์ เมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อเธอทราบว่าปีการศึกษานี้จะเริ่มต้นขึ้นด้วยการเรียนการสอนออนไลน์ Pearce จึงส่งลูกสาวของเธอไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนคาทอลิกแห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีการสอนนักเรียนในชั้นเรียน

ตอนนี้ Pearce กำลังชั่งใจว่าควรจะให้ลูกสาวของเธอกลับไปเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลในท้องถิ่นหรือไม่ เธอยังลังเลที่จะย้ายโรงเรียนให้ลูก เพราะตอนนี้ลูกสาวของเธอมีเพื่อนที่โรงเรียนคาทอลิกบ้างแล้ว นอกจากนี้เธอยังกังวลด้วยว่าโรงเรียนของรัฐนั้นอาจจะกลับมาสอนออนไลน์อีกครั้งหากผู้ป่วยติดเชื้อโคโรนาไวรัสมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก

ทั้งนี้ โรงเรียนหลาย ๆ แห่งทั่วประเทศสูญเสียนักเรียนไปจำนวนมากในช่วงการระบาดใหญ่ และพวกเขาหวังว่าเมื่อเปิดเทอมอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงนี้ บรรดาผู้ปกครองจะเลือกให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาล โดยโรงเรียนบางแห่งได้พยายามติดต่อกับครอบครัวของเด็กเล็ก บ้างก็ติดป้ายไปทั่วชุมชน ตลอดจนใช้วิธีการโทรศัพท์ติดต่อโดยตรง

การศึกษาของ Chalkbeat และ The Associated Press ระบุว่ามีสัญญาณเริ่มต้นที่ส่อว่าจำนวนนักเรียนที่ลดน้อยลงไปนั้นอาจจะยังไม่ฟื้นตัว และเรื่องดังกล่าวอาจทำให้โรงเรียนของรัฐบาลได้รับงบประมาณในการบริหารโรงเรียนน้อยลง แต่สำหรับตอนนี้ เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเนื่องจากการเกิดโรคระบาดนั้นยังช่วยให้งบประมาณของโรงเรียนแข็งแกร่งอยู่

Chris Cram ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของเขตการศึกษา Montgomery County Public School ที่ Pearce อาศัยอยู่ กล่าวว่าทางเคาน์ตี้สูญเสียนักเรียนไปจำนวนราว 3,000 ถึง 5,000 คนตั้งแต่ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ดี การที่มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนน้อยลงนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเชื้อชาติในโรงเรียนรัฐบาลในประเทศได้ การศึกษาของ AP/Chalkbeat พบว่าจำนวนนักเรียนที่ลดลงแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ การสมัครเรียนของนักเรียนชั้นก่อนอนุบาลจนถึงเกรด 12 ลดลง 2.6% ใน 41 รัฐเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว แต่การลดลงนั้นสูงที่สุดในหมู่นักเรียนผิวขาว ซึ่งมีการสมัครเรียนลดลงมากกว่า 4%

การตัดสินใจของครอบครัวคนอเมริกันผิวขาวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่า โรงเรียนรัฐบาลของบุตรหลานจะเปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียนหรือไม่ โดยรัฐต่างๆ ที่มีจำนวนนักเรียนที่เรียนออนไลน์มากกว่า จะเห็นได้ว่าจำนวนนักเรียนผิวขาวที่สมัครเข้าเรียนนั้นลดลงจำนวนมากตามไปด้วย

ส่วนนักเรียนชาวละตินอเมริกา จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในการสมัครเรียนตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด โดยการสมัครเรียนลดลง 1.5% ในหมู่นักเรียนกลุ่มนี้ ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักเรียนที่เติบโตเร็วที่สุดในอเมริกา นั่นอาจเป็นเพราะปัญหาที่ชาวละตินอเมริกาต้องเผชิญในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่ เพราะอัตราการตกงาน การเสียชีวิต และการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคระบาดของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก

Cram กล่าวต่อไปอีกว่านักเรียนบางคนออกจากเขตการศึกษา Montgomery County เพื่อไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนหรือเรียนที่บ้าน และหลายๆ ครอบครัวก็ออกไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และการย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า และว่าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ทางเขตการศึกษาจะโทรศัพท์ ส่งจดหมาย หรือแม้แต่เคาะประตูบ้าน เพื่อพูดคุยและแนะนำให้บรรดาผู้ปกครองส่งลูกกลับเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล

Richard Welsh ศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย New York University ซึ่งศึกษาเรื่องการลงทะเบียนเรียนกล่าวว่า อาจเป็นเรื่องยากสำหรับโรงเรียนที่จะพยายามติดต่อกับครอบครัวที่ให้ลูกลาออกจากโรงเรียนของรัฐไปแล้วด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ ดังนั้นทางโรงเรียนจะต้องหาวิธีต่างๆ นานา ในการที่จะนำนักเรียนกลับมา อย่างเช่นหากต้องการนำนักเรียนผิวขาวกลับมา จะต้องเปิดให้มีการเรียนการสอนในชั้นเรียน ส่วนนักเรียนผิวดำ และละตินอเมริกานั้น จะต้องพูดถึงมาตรการด้านความปลอดภัย

Chris Cram ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของเขตการศึกษา Montgomery County Public School กล่าวด้วยว่า Montgomery County จะมีโรงเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ทำงานด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีนักเรียนไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนมากน้อยแค่ไหน แต่จำนวนนักเรียนในโรงเรียนเอกชนนั้นเพิ่มขึ้น 5% หรือมากกว่านั้นในปีนี้ที่รัฐต่างๆ เช่น เดลาแวร์และนิวแฮมป์เชียร์ ส่วนในรัฐอื่นๆ รวมทั้งนิวยอร์ก ลุยเซียนา อินเดียนา และโคโลราโด นักเรียนในโรงเรียนเอกชนลดลง 3% หรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่ครอบครัวที่ร่ำรวยเท่านั้นที่ออกจากโรงเรียนของรัฐบาลไป แต่จำนวนนักเรียนที่น้อยลงนั้นมีทั้งในหมู่นักเรียนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนและจากครอบครัวร่ำรวยใน 35 รัฐที่ให้ข้อมูล

Cram กล่าวส่งท้ายว่า “นักเรียนบางคนจะกลับมาเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”

-- advertisement --