-- advertisement --

พรรครวมไทยสร้างชาติ”ที่ชูพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในความสนใจของทุกฝ่ายว่าจะมีการขับเคลื่อนทางการเมืองต่อจากนี้ต่อไปอย่างไร

          จุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ รวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคการเมืองที่มีคนรุ่นใหม่-หน้าใหม่ทางการเมืองที่มีโปรไฟล์การศึกษา การทำงาน ที่ดี และน่าสนใจ มาทำงานการเมืองร่วมกันที่พรรครวมไทยสร้างชาติจำนวนไม่น้อย โดยมีทั้งที่จะลงสมัครส.ส.ระบบเขตและบัญชีรายชื่อ รวมถึงมาช่วยงานพรรคในเรื่องการวางนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ ให้กับพรรค

          โดยหนึ่งในนักการเมืองหน้าใหม่-คนรุ่นใหม่ๆทางการเมือง ที่เข้ามาร่วมทีม-เสริมทัพให้กับรวมไทยสร้างชาติที่น่าสนใจก็คือ “รัดเกล้า สุวรรณคีรี หรือเนเน่“บุตรสาวคนเดียวของ “ดร.​ไตรรงค์  สุวรรณคีรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี -แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ” นักการเมืองอาวุโสที่ผ่านตำแหน่งสำคัญทางการเมืองมามากมาย

ซึ่งก่อนหน้าจะเข้าสู่ถนนการเมือง “รัดเกล้า-เนเน่”เคยผ่านงานภาคเอกชนมาก่อน โดยทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทยมาหลายแห่ง เช่น​ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือปตท.สผ. -บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และล่าสุด เป็นผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือดีแทค เป็นต้น แต่ขณะนี้ได้เลือกเส้นทางชีวิตด้วยการเดินเข้าสู่ถนนการเมืองเต็มตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจากเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปร่วมระดมความคิดเห็นเรื่องการแก้ปัญหาประเทศ การออกนโยบายต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ยังไม่มีการเปิดตัวตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ

          เริ่มต้นที่”รัดเกล้า-เนเน่”นักการเมืองหน้าใหม่ ได้เล่าถึงประวัติชีวิตส่วนตัว การศึกษา และการทำงาน รวมถึงเหตุผลที่สนใจการเมือง จนตอนนี้เข้าสู่ถนนการเมืองครั้งแรกในชีวิตกับพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเธอเล่าให้ฟังว่า เนเน่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวของนักการเมือง ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นคุณพ่อในบทบาทของนักการเมืองมาตลอด เราได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าเส้นทางสายนี้ทำให้คนคนหนึ่งสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้  ซึ่งเป็น passion เป็นความตั้งใจที่เราอยากทำมาโดยตลอด

          เรารู้สึกว่าเกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว มีโอกาสที่คุณพ่อ คุณแม่ สร้างให้ ทำให้เรามีการศึกษาที่ดี มีประสบการณ์ได้เห็นโลก ได้อยู่เมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งในทุกๆ วันเรารู้สึกขอบคุณ เพราะเรารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสอย่างนี้ เราโชคดีมาก และในเมื่อเราได้รับโอกาสนี้มาจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว ได้มีความรู้ มีความสามารถ  ถ้ามีสักวันหนึ่งที่เราจะมีโอกาสได้นำสิ่งเหล่านั้นมาต่อยอด  มาสร้างประโยชน์กลับคืนให้กับสังคม ให้กับประเทศชาติ สร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้ประเทศไทยดีขึ้นมาได้  จะทำน้อย หรือทำมาก ก็ตาม   เราควรจะทำ  มันเป็นบทบาทและหน้าที่ของคนที่มีโอกาสมากกว่า ที่ควรสละตน ทำเพื่อให้ชีวิตของคนที่เขามีโอกาสน้อยกว่าดีขึ้นมาได้  อย่างน้อยๆ ตัวเราเองจะได้ตายตาหลับ เพราะรู้แล้วเราไม่เสียชาติเกิด เรารู้สึกคุ้มแล้ว ที่ได้เกิดมา 

          ….เน่คิดอย่างนี้จริงๆ นะคะ และอยากชวนคนไทยหลาย ๆ คนที่ได้รับโอกาสของการได้ “มีมากกว่า” อย่างเน่ ให้คิดอย่างนี้กันให้เยอะ ๆ ถ้าทุกท่านคิดได้ ทำคนละนิด คนละหน่อย คำว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” จะได้เปลี่ยนมาเป็น “กระจายโอกาส สร้างความเท่าเทียมอย่างไร้กระจุก” ค่ะ แต่หากถามว่า คิดแบบนี้ มาตั้งแต่เด็กเลยไหม ก็ต้องตอบว่าไม่นะคะ เราเคยมีช่วงหนึ่งที่เรามุ่งมั่นไขว่คว้าความฝัน เหมือนที่วัยรุ่น ทุกๆ คนเป็นกัน เราไม่ได้คิดไปไกลมากกว่าการมุ่งมั่นทำฝันของเราให้เป็นจริงเลย

          ตอนเรียนปริญญาตรีอยู่ที่ซานฟรานสซิสโก ที่สหรัฐอเมริกา เราเรียนทางด้าน Computer Arts โดยโฟกัสหลักในด้านการพัฒนาซอฟท์แวร์ Video Game   ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในปีสุดท้ายของการเรียน ก็ได้ไปฝึกงานที่บริษัททำเกมส์สัญชาติเยอรมันที่อยู่ที่ San Francisco ด้วยความที่เราทำงานได้ดี มีความสามารถ บริษัทตัดสินใจจ้างงานเราต่อทันที อนาคตด้านการงานเราค่อนข้างไกล ระหว่างทำงานประจำก็ยังมีโอกาสได้ทำ project ดีๆ สนุกๆ กับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติควบคู่ไปด้วย

            บริษัทสุดท้ายที่ได้ทำงานด้วยคือ Electronic Arts หรือ EA ที่ Headquarter ของเขาอยู่แถวๆ Silicon Valley ถ้าเป็นสายเกมเมอร์คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักบริษัทนี้  เขาเป็นบริษัทเกมส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราทำงานได้ดีเข้าสายตาของผู้บริหาร และโดยวางตัวไว้ว่าให้เติบโตไปในสายบริหารต่อไป ตอนนั้นคือเราเหมือนได้เดินชีวิตตามความฝันเลย

          …เราเลยตัดสินใจ บอกกับที่บ้านว่าเราขอไม่กลับประเทศไทยอีกแล้ว เราบอกคุณพ่อว่างานของเรากำลังทำไปได้ดี เราจะขอทำตรงนี้ต่อ จะอยู่ต่างประเทศ   ในโมเมนต์ที่คุณพ่อได้ยิน วันนั้น คุณพ่อน้ำตาคลอค่ะ  เป็นครั้งแรก  ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นคุณพ่อร้องไห้ ถ้าจะเคยเห็นน้ำตาพ่อ ก็เมื่อเราเจอเรื่องตลกอะไรสักอย่างที่คุณพ่อหัวเราะจนท้องแข็งแล้วน้ำตาไหลเช่นดูหนังตะลุง หัวเราะจนน้ำตาไหล แบบนี้เราเคยเจอ  แต่น้ำตาของความเสียใจ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งเดียว ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น  ท่านพูดสั้นๆ แค่ว่า “พ่อเสียใจ การลงทุนของพ่อ สร้างลูกออกมาเป็นคนเก่งคนดี ได้มีโอกาส ได้ออกไปดูโลก ได้ไปเรียนเมืองนอก เป็นโอกาสที่ไม่ใช่ว่าเด็กไทยทุกคนจะได้มี ในวันนี้ที่ลูกมีความรู้ มีความพร้อม   แต่ลูกพ่อกลับไม่เคยคิดที่จะตอบแทนกลับ ซึ่งตรงนี้ ไม่ได้อยากให้ตอบแทนกลับมาที่ตัวพ่อ แต่คนไทยทุกคน ควรคิดที่จะตอบแทนกลับสู่ประเทศ ถ้าทุกคนที่มีโอกาสคิดถึงแต่ตัวเองอย่างนี้ แล้วประเทศเราจะมีคนเก่งที่ไหนมาพัฒนา”

          “รัดเกล้า-เนเน่“บอกเล่าช่วงเวลาดังกล่าวว่าเมื่อคุณพ่อพูดจบประโยคดังกล่าว เหมือนทำให้เราตื่น เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เรารู้สึกว่า จริงของพ่อ จากวันนั้น มันไม่สามารถกลับไปคิดแบบเดิมได้อีก  เราได้ทำตามฝันเราแล้ว 2 ปีก็เพียงพอ ถือว่าได้ทำแล้ว เราแค่หลับตาคิดว่าถ้าเป็นตัวเราในวัยอายุ 60-70 ปี แล้วเรามองย้อนกลับมาในชีวิตที่เราเดิน สมมุติว่าเน่ประสบความสำเร็จในการทำตามความฝันของตัวเอง มันย้อนกลับมา ก็คงไม่ได้รู้สึกภูมิใจกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนเราใช้ตัวเองได้ไม่คุ้มค่า เราเกิดมา เรามีโอกาสมากมาย รวมถึง ได้มีประสบการณ์ ได้เห็นคุณพ่อ ที่อยู่ในสายการเมืองมา เราได้เห็นอะไรที่หลายคนไม่ได้เห็น แล้วเราสามารถต่อยอดจากตรงนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่ทำ วันนั้นเราคงรู้สึกเสียดายตัวเอง เราก็เลยตัดสินใจว่า ในชีวิตที่ได้ทำงานมา 2-3 ปี ได้ทำตามความฝันของตัวเอง เราคิดว่าเราพอแล้ว เราได้อยู่บนภูเขาลูกนี้ที่เรียกว่า ความฝันในวัยเด็กของเรา เรามองหันไปหาภูเขาอีกลูกหนึ่ง ที่เป็นลูกใหม่ เป็นความฝันใหม่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือ แล้วเราจะใช้ชีวิตที่เหลือในการ “เอาตัวเองมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติได้อย่างไรบ้าง”ที่ก็คือ จะทำอย่างไรที่จะทำให้ตัวเองเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เราจะต่อยอดตัวเรา หากเรามองว่าตัวเราคือหนึ่งในอาวุธที่จะทำให้ประเทศชาติ นำไปใช้ แล้วเราจะทำอะไรได้ ก็เลยหันมามมองตรงนี้  

          หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความที่เน่ เรียนมาทางด้าน Computer Art ที่เป็นด้าน media เราเลยมองว่าสิ่งนี้น่าจะมีประโยชน์ถ้านำมาใช้ในด้านการศึกษา เรื่องการใช้ Technology และ Digital Platform เพื่อการศึกษา ตัวเน่เองก็เริ่มมีความสนใจด้านการศึกษา ก็เลยนำเงินที่สะสมมาในช่วงทำงาน ส่งตัวเองเรียนปริญญาโทต่อที่ประเทศอังกฤษ โดยได้ไปศึกษาปริญญาโทต่อในด้าน ICT in Education ที่มหาวิทยาลัย University College London (UCL) ใน Institute of Education (IOE) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านการศึกษาอันดับหนึ่งของโลก เน่ก็เน้นทำและศึกษาในเรื่องนี้ในเรื่องการใช้ ICT in Education หรือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง งานวิจัยมีอะไร และหากนำมาใช้ในประเทศไทย จะเป็นอย่างไร

 และกลับมาทำงานในเมืองไทย ซึ่งในช่วงที่ทำงานอยู่ที่ ปตท.สผ. เราก็ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทใบที่สองด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตร ที่ทำงานไปเรียนไป ช่วงนั้นก็เหนื่อยหน่อย ทำวิทยานิพนธ์ถึงตี 4-5 และเช้ามาก็ไปทำงานต่ออีก แต่เป็นความเหนื่อยที่คุ้มค่ามาก เพราะมันเติมเต็มความรู้ทั้งในมุมประวัติศาสตร์ การเมือง และการบริหารประเทศ ทำให้เรามีความพร้อมที่จะก้าวมาอยู่จุดนี้ ในวันนี้ได้

          สรุปสั้นๆ คือการตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมืองของเน่ ได้รับการจุดประกายจากคุณพ่อค่ะ  นับตั้งแต่วันนั้น เน่ก็ฟูมฟักพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมมาตลอด และในวันนี้ที่เราเชื่อว่าความสามารถและประสบการณ์ของเราสุกหง่อมแล้ว เราพร้อมแล้ว เราก็ take action ก้าวออกมาเพื่อขอโอกาสในการได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศไทย สังคมไทยดีขึ้นได้

เปิดเส้นทางการเมือง

ก่อนใส่เสื้อ”รวมไทยสร้างชาติ”

          เมื่อถามถึงว่า บทบาทในพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามาร่วมงานกับพรรคตั้งแต่เมื่อใด และต้องการเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเรื่องอะไร “รัดเกล้า“เล่าถึงเส้นทางการมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ก่อนหน้านี้ เน่กับคุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ รู้จักสนิทกันมาก่อน ด้วยความที่ครอบครัวเรารู้จักกัน และเราเป็นนักศึกษาจากประเทศออสเตรเลียเหมือนกัน

ตอนที่ท่านหัวหน้าพรรค คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พยายามสร้างพรรคขึ้นมาโดยมีคุณขิงเป็นเลขาธิการพรรค ตอนนั้นพรรค ยังไม่มีชื่อพรรคเลย แต่มีการนัดคนที่มีใจ มีอุดมการณ์ มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ และอยากสร้างความเปลี่ยนแปลง เหมือนกันมานั่งคุยกัน มา brainstorm กันว่าการตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้ เราต้องการที่จะแก้ไขปัญหาอะไรกันบ้าง เราอยากเห็นประเทศไทยดีขึ้นในด้านใดบ้าง เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไปร่วมคุยด้วย มานั่งคิดกันว่า หากพวกเรามารวมตัวกันสร้างพรรคการเมืองแล้วจะมีอะไรที่ออกมาเป็นนโยบายพรรคที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีการคุยกันหลายรอบ รอบละหลายชั่วโมงเลยค่ะ เพราะเรามีสิ่งที่อยากทำเยอะแยะมากมาย ประเทศไทยมีเรื่องต้องแก้ไขเยอะมาก

          ….เน่ต้องขอบคุณหัวหน้าพรรคและคุณขิงมากๆ ที่ทำให้เน่ได้นำสิ่งที่เน่เห็น ได้นำประสบการณ์มาแบ่งปัน และได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นต่างๆ และเป็นความภูมิใจของเน่เลยนะคะที่หลายๆ ไอเดียของเน่ได้รับการหลอมรวมกับไอเดียดีๆ ของคนอื่นๆ มีการพัฒนาต่อยอดมาเป็นนโยบายพรรคปัจจุบัน  จากวันนั้นมาถึงวันนี้ พรรคของเรามาไกลมากเลยค่ะ

          …ยังจำวันที่ท่านพีระพันธุ์เอาเสื้อยืด Prototype ของพรรคมาให้ดูได้อยู่เลยค่ะ ท่านพีระพันธุ์เอาให้ดูพร้อมถามว่า “สวยไหม น้องเนเน่สนใจมาใส่เสื้อนี้แล้วร่วมเป็นผู้สมัครของพรรคไหม

ซึ่งในวันนั้น เน่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองดีไหม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำงานเป็นพนักงานบริษัทมาตลอด อยู่ในองค์กรต่างๆ มา แต่เรายังไม่เคยออกมาอยู่ในสายการเมือง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ให้คำตอบหัวหน้าพรรคอะไรท่านไป เพราะในวันนั้น แค่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสนอไอเดียก็รู้สึกอิ่มใจแล้ว ต้องขอบคุณท่านหัวหน้าพรรค ท่านพีระพันธุ์มากๆ ที่ช่วยจุดประกายครั้งใหม่ให้กับเน่ ต่อจากที่คุณพ่อได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของนักพัฒนาชาติให้กับเน่แล้ว

จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจว่า ขอลองดูสักตั้ง เราก็คิดว่าความรู้เราก็พร้อมแล้ว วัยวุฒิ-ประสบการณ์เราสั่งสมมาพร้อมแล้ว เลยคิดว่าลองดูสักตั้งดีกว่า เอาตัวเองมาตรงนี้ มาขอโอกาสประชาชนเพื่อที่เราจะเข้ามาเอาความรู้ความสามารถของเรามาใช้ประโยชน์ดู เลยตัดสินใจที่จะออกมาจาก comfort zone ของตัวเอง จนก้าวเข้ามาสู่ตรงนี้ ที่ก็ต้องขอของคุณ  ท่านพีระพันธุ์ได้มอบโอกาสให้เน่ได้ก้าวเข้าสู่การเมืองภายใต้ร่มเงาของพรรครวมไทยสร้างชาติ

เป้าหมาย-เข็มทิศการเมือง

อยากทำงาน-พัฒนาด้านการศึกษา

          “รัดเกล้า“เล่าต่อไปว่า ขอย้อนไปตอนที่นั่ง Brainstorm กัน ไอเดียที่เน่ได้นำเสนอไปนั้น ก็มีไอเดีย หลากหลายเรื่อง ด้วยความที่เน่มีประสบการณ์ที่หลากหลาย ผ่านการทำงานมาในหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมพลังงาน การเงิน การเกษตรและอาหาร และตอนนี้คือโทรคมนาคม  แต่ตามที่ได้เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ความสนใจจริงๆ ของเน่อยู่ที่เรื่องการใช้ Technology และ Digital Platform เพื่อการศึกษา

          …ในช่วงที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) แม้ว่าจะเป็นองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร แต่เป็นองค์กรที่มีการทำเพื่อสังคมเยอะมาก ต้องขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ที่มอบโอกาให้เน่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการที่มุ่งเน้นพัฒนาเรื่องการศึกษา หนึ่งในโครงการที่เน่ต้องผลักดันขับเคลื่อนคือ โครงการ ConnextED หรือที่สมัยก่อนใช้ชื่อว่าโครงการโรงเรียนประชารัฐ ซึ่งริเริ่มโดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา   เป็นโครงการที่ดีมากๆ เชื่อมโยงศักยภาพและทรัพยากรของภาคเอกชนเข้ากับภาครัฐ เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนพัฒนาภาคการศึกษาทั่วประเทศ 

          นอกจากนั้นยังได้ผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชม และโครงการ Education Sandbox ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา -ปวช. และ ปวส. และสร้างโอกาศให้เยาวชนได้พัฒนศักยภาพตนเองให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน 

          จากการทำโครงการเหล่านี้ ทำให้เน่มี Passion อยากพัฒนาการศึกษาใน 4 ด้านค่ะ

  1. เด็กไทยต้องคล่องภาษาอังกฤษ

          ต้องยอมรับการความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไทยยังเป็นปัญหาที่ใหญ่และมีมายาวนาน  อย่าว่าแต่การเปรียบเทียบระหว่างโรงเรียนในเมืองหลวงและต่างจังหวัดเลย แค่โรงเรียนในจังหวัดเดียวกันยังไม่เท่าเทียมกันเลย  หนึ่งในปัญหาโลกแตกของคนเป็นพ่อ เป็นแม่ในเมืองไทยคือจะให้ลูกเรียนที่ไหนดี โรงเรียนสาธิตต่างๆ ก็เข้ายากเหลือเกิน ต้องติวเข้มลูกน้อยตั้งแต่อยู่อนุบาล หรือจะเข้าโรงเรียนเอกชน โรงเรียนอินเตอร์ต่างๆ  ก็ต้องมานั่งดีดลูกคิดคำนวนหาวิธีรับมือค่าเทอมอีก ในขณะที่มุมมองของพ่อแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น หากถามว่า โรงเรียนที่ดีที่สุดคือโรงเรียนอะไร คำตอบที่จะได้จากเขาคือ “โรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด”  เขาพูดอย่างนี้ได้ เพราะโรงเรียนของเขามีมาตรฐานที่เท่ากัน มีความแตกต่างระหว่างกันที่น้อยมาก

          เน่อยากแก้ไขให้เด็กไทยมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน สามารถได้รับการศึกษาที่ดี เข้าถึงเนื้อหาหลักสูตรที่ดีได้ทุกคน  นโยบายและโครงการต่างๆ ที่มุ่งหวังพัฒนาการศึกษาไทยมักจะติดกับดักอยู่เรื่องหนึ่งคือกับดักของคำว่า “ต้นแบบ” 

คนไทยคุ้นชิ้นกับการประกวด การเฟ้นหา โรงเรียนต้นแบบ นักเรียนต้นแบบ ซึ่งแนวคิดนี้กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาจริง แต่ผู้ได้รับประโยชน์นั้น “กระจุก” อีกแล้ว  เราเจอปัญหาว่าทั้งจังหวัดมีโรงเรียนที่ดีเด่น 1 หรือ 2 โรงเรียน  และทั้งโรงเรียนมีเด็กที่เก่ง เป็นดาราเด่นอยู่เพียงแค่หยิบมือ ซึ่งบุคลากร ทรัพยากร ความสนใจทั้งหมดจะเทไปให้เด็กกลุ่มนี้ ในขณะที่เด็กที่เหลืออาจจะยังมีปัญหาพื้นฐาน เช่นยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ด้วยซ้ำ การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ เน่ว่าเราต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ค่ะ   และจุดเล็กๆ ที่ว่านั้นคือ “ภาษาอังกฤษ

          เด็กไทยมีความเก่งอยู่เยอะมากทั้งในด้านการความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นต้นกำเนิดของ Soft Power  เด็กไทยหลายคนมี potential ที่จะเป็น YouTuber เป็น TikToker เป็น Reviewer เป็น Gamer เป็น Creative Thinker  แต่อุปสรรคที่ทำให้ความเก่งกาจของเด็กไทยยังไม่สามารถก้าวออกไปสู่เวทีโลกได้ก็คือเรื่อง “ภาษา” และทักษะในการ “เล่าเรื่อง”

          ตอนทำโครงการ ConnextED เน่ได้คุยกับ ผอ. จากหลาย โรงเรียน ทำให้ได้เรียนรู้ว่าโรงเรียนเหล่านี้ ใฝ่ฝัน อยากเห็นเด็กๆ มีโอกาสได้พัฒนาภาษาเหมือนเด็กๆ ในเมืองบ้าง การทำเรื่องนี้มันยากและใช้งบประมาณมากเหลือเกิน หลายๆ คนต้องถอดใจ ไปทำโครงการแปลงผัก เล้าไก่แทน เพราะงบประมาณถูกกว่า และเป็นทางออกให้เด็กๆ มีรายได้เสริม มีอาหารกิน มีกิจกรรมทำ

          เป้าหมายคือ เด็กไทยทุกคนในทุกโรงเรียนต้องพูด ต้องเขียน ต้องอ่าน และที่สำคัญต้องสามารถนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเปรียบเช่นเป็นภาษาที่ 2 ของเขา  เรื่องนี้ทำได้ค่ะ  เราสามารถใช้ Digital Platform ให้เป็นประโยชน์ได้ จริงๆ แล้วความรู้ และ know How ต่างๆ มีอยู่เยอะแยะในสังคมออนไลน์ เช่น YouTube TikTok นะคะ  ถ้ามีการจัดระเบียบ คัดกรอง และฝึกอบรมให้คุณครูรู้ที่จะใช้นำสิ่งเหล่านี้มาประกอบการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนของเด็กจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

  1. เด็กไทยรู้ทันและมีความรับผิดชอบในการใช้โรคไซเบอร์

          วันก่อนอ่านบทความแล้วตกใจเลย จำนวนของการล่วงละเมิดทางออนไลน์ของไทย ติดอันดับ 2 ของโลกไปแล้ว  ซึ่งในปัญหานี้ เยาวชนของไทยตกเป็นเหยื่ออย่างเงียบๆ พ่อ แม่ ครู ไม่เคยรู้เลย

          เด็กยุคปัจจุบันเขาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า Digital Native เกิดมาเขาก็รู้วิธีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเข้าสู่โลกไซเบอร์ได้โดยธรรมชาติของเขาเองเลย เราไม่ต้องสอนเขา ตรงกันข้าม เขาจะต้องเป็นคนมาสอนเราด้วยซ้ำ  แต่ปัญหาคือระบบการเรียนการสอนและความรู้ของผู้ปกครอง คุณครู นั้น obsolete รู้ไม่เท่าทันถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์  ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของเด็กๆ ได้ เมื่อมีมิจฉาชีพแสร้งตัวเข้ามาในชีวิตของเด็ก

          และอีกปัญหาที่มีมานานและปรับเปลี่ยนรูปแบบมาอยู่ในโลกออนไลน์ด้วยแล้วคือเรื่องของ Cyber Bullying  โดยนอกเหนือจากเด็กไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแล้ว หลายๆ ครั้งเขารับทั้งบทผู้ร้าย และผู้ถูกทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นด้วยความดังใจหรือเผลอไผล แต่เด็กๆ ต่างก็สร้างบาดแผลทางใจให้แก่กันและกันเป็นประจำ ผ่านการท่องโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นในหลักสูตรการเรียนการสอนของคนไทยจะต้องมีเรื่องการใช้การท่องโลกไซเบอร์อย่างมีความรับผิดชอบและการรู้ทันถึงความเสี่ยงต่างๆในโลกไซเบอร์ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กของเราให้สามารถกลั่นกรองและแยกแยะได้ว่าเนื้อหาไหนเป็นเนื้อหาดีเนื้อหาไหนเป็นเนื้อหาไม่ดีได้ด้วยตนเอง

          3 ศิลปะและวัฒนธรรมไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาพื้นฐานที่สุดคูล ไม่น่าเบื่อ

          สิ่งดีๆ ที่ประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน หลายครั้งกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ เก่าแก่ คร่ำครึ  จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเลย   ทำไมในบางประเทศเขาถึงสามารถปลูกฝังให้คนในประเทศเขารู้สึกชื่นชมกับความเป็นตัวตนของเขาเองได้  คนจีนที่เขียนพู่กันได้สวยนี่เป็นที่ชื่นชมเป็นอย่างมาก ชุดกิโมโนสำหรับคนญี่ปุ่นเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราเลยนะคะ  แล้วของประเทศไทยเราหล่ะมีอะไรบ้าง  เน่คิดถึง “กีฬามวยไทย

          กีฬามวยไทยเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แต่แปลกไหม ที่โรงเรียนอนุบาลในประเทศไทยมีกิจกรรมหลังเลิกเรียนที่แสนจะ popular มีให้เรียนทุกโรงเรียนคือ “เทควันโด”  มีกันตั้งแต่อนุบาล แต่แปลกแสนแปลก เรากลับไม่เคยคิดที่จะให้เด็กๆ ได้เรียนมวยไทยกัน ทั้งๆที่นี่คือประเทศไทย เป็นที่ซึ่งสร้างมวยไทยขึ้นมา

          เน่ได้เรียนรู้เรื่องราวหนึ่งมาแล้วรู้สึก inspired คือ  มีครูมวยไทยคนหนึ่งได้แต่งงานกับแฟนสาวชาวต่างชาติแล้วเขาก็ย้ายประเทศไปอยู่กับแฟนเขาที่ฟินแลนด์ เมื่อเขาไปอยู่ที่นั่น เขาก็ตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนมวยไทยเล็ก ๆ มีเด็กในละแวกมาเรียนแค่ไม่กี่คน

โดยในช่วงแรกๆ เห็นว่าพ่อแม่ไม่ค่อยอยากให้ลูกมาเรียนด้วยนะ กลัวว่าลูกจะก้าวร้าว ไปต่อยเตะกับผู้อื่น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เด็กที่ได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้ของมวยไทยกับเป็นเด็กที่มีวินัย ควบคุมอารมย์ตัวเองได้ดี สงบนิ่ง ซึ่งก็ได้ส่งผลให้การศึกษาของเด็กๆ ดีขึ้นไปด้วย  เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ โรงเรียนมวยดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องพูดถึง มีคนมาเรียนล้นหลาม และด้วยประเทศฟินแลนด์ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีหลักสูตรการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เมื่อภาครัฐทราบถึงความสำเร็จนี้ เขาได้ดำเนินการทำกรณีศึกษา และล่าสุดจะตัดสินใจนำมวยไทยเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนของเขาด้วย

          คนไทยหลายคนอาจจะยังติดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับกีฬามวยไทยด้วยซ้ำนะคะ ว่าเป็นกีฬาของนักเลง รุนแรง ไม่ปลอดภัย  แต่โดยลึกซึ้งแล้วมวยไทยไม่ได้สอนแค่ทักษะในการต่อสู้แต่มีการสอดแทรก แนวคิดการควบคุมจิตใจและอารมณ์ของตนเองอยู่ในนั้นด้วย 

          อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เน่คิดถึงมวยไทย แทนที่จะคิดถึงดนตรีไทย รำไทย หรือวัฒนธรรมสวยงาม อื่นๆคือความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์กราดยิง การทำร้ายร่างกายเด็ก เด็กรุ่นพี่รังแกเด็กรุ่นน้อง  มวยไทยสามารถหยิบยื่นทักษะการป้องกันตัวเบื้องต้นให้เด็ก แต่ในขณะเดียวกัน ปลูกฝังให้เด็กๆ เข้าใจด้วยว่าการใช้กำลัง ไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหา

          ด้วยเหตุนี้เอง เน่อยากขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ปรับภาพลักษณ์ให้กีฬาประจำชาติของไทยใหม่ ควบคู่กับการส่งเสริมให้หลักสูตรพลศึกษาของไทยควรที่จะมีวิชามวยไทยเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร เพื่อให้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายไทยได้เรียนรู้ศิลปะมวยไทยกันอย่างทั่วกัน

  1. เด็กไทยสนใจเรื่องใหม่ๆ การศึกษาไทยต้องยืดหยุ่น ปรับตัว และ facilitate

          ชอบเล่นเกมส์แล้วไง ชอบบังคับเครื่องบินของเล่นแล้วไง ชอบวาดรูปวาดการ์ตูนแล้วไง ทำพวกนี้ไปแล้วจะไปทำอะไรกิน  คำปรามาสเหล่านี้ต้องหายไปจากปากคุณครูแนะแนวในโรงเรียน

          ในหลายๆ โรงเรียนเริ่มมีการสอนเรื่องการ Programming การ Coding ในวิชา ICT ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่ายังไม่ดีพอ เพราะเท่าที่รู้คือการสอนเหล่านี้มีแค่ในโรงเรียนดีๆ เด่นๆ ดังๆ  อีกครั้งกับปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน เด็กในโรงเรียนทุกโรงเรียนควรที่จะได้เรียนสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นทักษะของอาชีพในโลกอนาคต  การสอนเรื่องนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรพื้นฐานของทุกโรงเรียนในประเทศ  และต่อยอดจากนั้น ควรมีการให้ความรู้แก่คุณครูแนะแนวว่าในโลกใบนี้ มีโอกาสอะไรใหม่ๆ มีอาชีพอะไรใหม่ๆ  เกิดขึ้นมาบ้าง 

          เด็กบางคนสนใจชอบเล่นเกมส์  ถ้าเขาเล่นได้เก่ง ทราบไหมว่าล่าสุดคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ประกาศเตรียมจัดงาน Olympic Virtual Series (OVS) ที่จะเป็นงานแข่งวีดีโอเกมระดับโอลิมปิกแล้ว  และทราบไหมคะว่าทักษะที่ต้องมีในการเล่นเกมเหล่านี้ให้เก่งได้คือการวางแผน การออกแบบกลยุทธ์ และการทำงานเป็นทีม

สิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st-Century Skill) เด็กที่เราอาจจะมองว่าเอาแต่ใช้เวลาอยู่หน้าจอ เล่นแต่เกม เด็กเหล่านี้อาจเป็นนักกีฬาทีมชาติให้กับประเทศไทยในการแข่งขันระดับโอลิมปิก  และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพให้กับวงการเสนาธิการทหารในอนาคตก็ได้  เด็กเหล่านี้ต้องการแค่ผู้ใหญ่ที่เข้าใจความชอบของเขา และชี้แนะให้เขานำความชอบมาต่อยอดอย่างถูกทาง  เราเริ่มต้นได้โดยให้วิชา ICT ในโรงเรียนมีการปรับเพิ่มเนื้อหาการสอนเพื่อรองรับเด็กกลุ่มนี้  นอกจากนั้นยังจะมีเรื่อง Robotic, AI, AR, VR, Game design ฯลฯ และเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอีกเยอะแยะเลย

          เด็กบางคนชอบวาดรูปวาดการ์ตูน  ทราบไหมว่าอาชีพด้าน Animation & Visual Effect เป็นที่ต้องการของตลาด Hollywood มากๆ  และโดยที่หลายคนไม่รู้  ผู้อยู่เบื้องหลังหนังฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่อง คือคนไทย เราเป็นหนึ่งในแหล่งของการ Outsource ทีได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะคนไทยมีความละเอียดอ่านในการทำงานศิลปะเป็นอย่างมาก จึงทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างดี  วิชาการเรียนเรื่อง ICT ของคนไทย ควรรองรับการสอนเรื่อง Animation เบื้องต้นด้วย

          ถึงเวลาแล้วที่หลักสูตรการเรียนต้องปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยทันความสนใจของเด็ก  ต้องเลิกมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องสนุกแต่ต้องเอาความสนุกของเด็กมาพัฒนาปรับปรุง  แล้วส่งเสริมให้เขาสามารถนำมันไปสร้างอาชีพใหม่ๆ ในโลกอนาคตได้ การเรียนด้าน ICT ของไทยต้องก้าวให้ทันโลก ต้องบูรณาการเข้ากับการแนะแนว เพื่อเป็นเข็มทิศให้เด็กๆ ที่เขามีความสนใจพิเศษเช่นนี้ได้มีที่พึ่ง เปิดโอกาสให้เด็กได้เติบโตเข้าสู่อาชีพที่ในอนาคตของเขา

          -ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น สนใจจะลงสมัคร ส.ส.ในครั้งนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด มีข่าวว่าจะลงสมัครส.ส.เขต กทม.? 

          อย่างที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้ เน่ได้ฟูมฟักพัฒนาตัวเองให้มีความพร้อมมาตลอด และในวันนี้ที่เน่ได้สั่งสมประสบการณ์และความรู้มาในระดับหนึ่งแล้ว เน่เชื่อว่าเน่พร้อมที่จะก้าวออกมาจากชีวิตเดิม และก้าวเข้าสู่การเมืองเพื่อขอโอกาสในการได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศไทย สังคมไทยดีขึ้นได้

          ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ เน่ตั้งใจจะทำเต็มที่ในฐานะส่วนหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยหากพรรคมอบโอกาสให้ทำงาน-ลงเลือกตั้งในส่วนไหน เน่ก็ยินดี ไม่ว่าจะให้ลงสมัครระบบปาร์ตี้ลิสต์ ลงเขตหรือมาช่วยงานพรรคด้านนโยบาย เราก็ยินดีหมด เพราะรวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่ให้โอกาสกับทุกคน รวมถึงนักการเมืองหน้าใหม่ คนรุ่นใหม่ๆ

รวมไทยคือการรวมคนไทยที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการอยากเห็นคนไทยและประเทศไทยดีขึ้น เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างชาติ รวมไทยสร้างชาติ จึงเป็นการรวมคนไทยที่มีหัวใจอยากจะสร้างชาติ

เสียงสะท้อน-ยังบลัด รทสช.

การเมืองวันนี้ไม่น่ารักเหมือนเดิม

-ก่อนหน้านี้มองการเมืองไทยอย่างไรบ้าง และเมื่อมองการเมืองที่เคยมองกับการเมืองยุคปัจจุบัน มองว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน อะไรคือจุดที่ไม่ดี ที่เห็นว่า ควรเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น?

          เน่มองการเมืองในช่วงหลังๆ ด้วยความกังวลใจ  เราเห็นความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาจากความเห็นต่าง ความเชื่อที่ต่าง อุดมการณ์ที่ต่าง ซึ่งมันแตกต่างจากการเมืองที่เน่ได้เห็นในช่วงที่เติบโตขึ้นมาในฐานะของลูกสาวคุณพ่อ 

          ในสมัยก่อน ความเห็นต่างจะถูกถกเถียงอภิปรายกัน มีการเอาข้อมูลมาแย้งกันในรัฐสภา ซึ่งเป็นการถกเถียงกันเพื่อกลั่นกรองกฎหมายและนโยบายที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศ  ซึ่งความน่ารักคือ เมื่อออกมาจากห้องประชุมรัฐสภา  คนที่เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องประชุม เขาก็กอดคอกัน ชวนกันไปนั่งจิบกาแฟต่อได้ เพราะเขามีความเคารพต่อกัน มีความเป็นพี่น้องกัน ทุกคนมีความเป็น professional และยึดถือว่าเขาเข้ามาสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ “ทำให้ประเทศไทยดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่” เราแค่เห็นต่างกันว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นด้วยวิธีการไหน เท่านั้นเอง

          การเมืองในยุคหลังนี้ไม่เหมือนเดิม คนเห็นต่างกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ไม่มีการยกมือไหว้กัน ไม่มีการยิ้มให้แก่กันได้ มันเป็นเพราะอะไร… เพราะเรามีทิฐิต่อกันมากขึ้นหรือ? เพราะเรามีเป้าหมายที่แตกต่างกันแล้วหรือ? หากใช่ ถ้างั้นเป้าหมายของเราทุกคนคืออะไรไปแล้วหล่ะ?

          เน่ว่าปัญหานี้มันบ่มเพาะมานานแล้วค่ะ  ปากเราบอกกันว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่เรากลับไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้นไม่ได้มีแค่คำว่า “เสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อย” แต่มันมีคำว่า “การรับฟัง และเคารพต่อความเห็นต่าง” ด้วย  เราลืมกันไปหมดแล้ว

           อาจเป็นเพราะคนสมัยนี้มี Social Media เข้ามาอยู่ในชีวิตมากขึ้นก็ได้นะคะ  Platform เหล่านี้เขามีกลไก มี algorithm ที่จะสร้างมโนภาพขึ้นมาว่าโลกทั้งใบที่เราอยู่นั้น มีแต่คนที่คิดเห็นเหมือนกับเรา เรารักสีไหน เปิด Facebook ไปก็จะเห็นแต่สีนั้น มันเลยทำให้พวกเราสร้างโลกขึ้นมาในความเข้าใจของตัวเราเองว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเชื่อนั้นถูกต้องที่สุด มันคือ “เสียงส่วนใหญ่” และใครที่ไม่เห็นอย่างนั้น… เธอแปลก เธอไม่เข้าพวก ฉันรับเธอไม่ได้ เน่อยากเห็นการเมืองไทยกลับไปเป็นเหมือนที่เคยค่ะ ซึ่งมันเป็นได้ ถ้าเรามีนักการเมืองน้ำดีใหม่ๆ เข้ามา ช่วยการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของนักการเมืองขึ้นใหม่ภายใต้เป้าหมายของการทำเพื่อชาติร่วมกัน

-จุดแข็งหรือความแตกต่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้โอกาส  ให้พื้นที่การเมืองกับคนรุ่นใหม่ คนหน้าใหม่ทางการเมือง อย่างไรบ้าง?

ความน่ารักของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือเขาถูกสร้างขึ้นมาด้วยเป้าหมายเพื่อทะลายความต่างค่ะ ชื่อ “รวมไทย” นี้คือหมายถึงการรวมคนไทยทุกคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน มีอุดมการณ์เดียวกัน นั่นคือการ “สร้างชาติ” ไงคะ

          ….ในพรรครวมไทยสร้างชาติ  คนรุ่นใหม่มีโอกาส ได้คิด ได้ถกเถียงกัน แต่หลายครั่งคนรุ่นใหม่ก็จะเดินเร็ว อยากฉีก อยากสร้างเส้นทางของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่ระวังก็อาจผิดพลาดได้  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีมากที่มีคนรุ่นเก๋ามาคอยเป็นพี่เลี้ยง เอาประสบกาณ์มาเสริม มาเติมแนวคิดของรุ่นเด็กให้มีน้ำหนัก ให้อยู่บนฐานของความเป็นไปได้มากขึ้น คนเดินเร็ว อาจจะดีแค่เร็วและหลงทางได้ หากไม่มีเข็มทิศที่แม่นยำค่ะ  ความต่างและจุดแข็งของพรรครวมไทยสร้างชาติคือ การเดินคู่กันของคนทุกวัยที่มีหัวใจพร้อมสร้างชาติ

          อีกจุดแข็งหนึ่งคือเราเป็นพรรคที่มีความเชี่ยวชาญทางกฎหมายเป็นอย่างมาก ใช่ค่ะ ทุกพรรคเขาก็เก่งกฎหมายกันทั้งนั้นแหละ แต่ของเราเป็นการใช้กฎหมาย ควบคู่กับความซื่อตรง ด้วยเป้าหมายของการทำเพื่อชาติค่ะ  นโยบายเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ นั้น จะไม่ใช่การทำเพื่อประชานิยมเท่านั้น ไม่เป็นการสัญญาอะไรลอยๆ เพื่อลวงให้พี่น้องเทคะแนนให้ แล้วตอนเอามาทำจริง กลับสร้างปัญหาตามมามากมาย  นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาตินี้ มุ่งเน้นแก้ที่ต้นเหตุ แก้ที่กฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ดังนั้นประชาชนสามารถมั่นใจได้ 100% ว่า เราคิดมาดีแล้วว่าแก้ปัญหาได้ตรงจุด และแก้ได้อย่างยั่งยืนแน่นอน

          “รวมไทยคือการรวมคนไทยที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการอยากเห็นคนไทยและประเทศไทยดีขึ้น เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างชาติ รวมไทยสร้างชาติ จึงเป็นการรวมคนไทยที่มีหัวใจอยากจะสร้างชาติ”

          “รัดเกล้า”ที่เป็นหนึ่งในคนที่ไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่ยุคแรกๆ ยืนยันหนักแน่นว่า “การทำให้ รวมไทยสร้างชาติ คือสถาบันการเมือง คือเป้าหมายที่พรรคต้องการที่จะเป็น ยืนยันได้ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้ตั้งมาเพื่อจะเป็นแค่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ” เพราะหากจะเป็นเฉพาะกิจ คงไม่เอาคนที่จะเป็นอนาคตของชาติ คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาในพรรคจำนวนมาก เป้าหมายของพรรคคือทำให้พรรคอยู่เป็นพรรคการเมืองแกนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการเมืองในอนาคต โดยมีคนที่มีอาวุโสคอยเป็นพี่เลี้ยง คอยช่วยชี้แนะให้คนรุ่นใหม่ได้เขียนอนาคตของประเทศของพวกเขาเอง  หากเป็นแค่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ รูปการคงไม่ออกมาเป็นแบบนี้

-การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ชูพลเอกประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้ง  จะมีผลทางการเมืองกับพรรคอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงหาเสียง?

          พลเอกประยุทธ์เป็นคนดี  เน่เชื่อว่าหลายคนเห็นสิ่งนี้ และไม่มีอะไรทีสำคัญไปกว่าการได้คนดีมาเป็นผู้นำประเทศ  การที่พลเอกประยุทธ์ได้มาอยู่ในพรรครวมไทยสร้างชาติ คือการนำ “คนดี” มาอยู่เคียงข้างคู่กับ “คนเก่ง” ค่ะ และยังมีคนรุ่นใหม่ๆในพรรคหลายคนที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ  มันเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกันที่เข้มแข็งมาก และเน่ก็เชื่อมั่นอีกครั้ง ว่าหลายคนก็คงเห็นสิ่งนี้เช่นเดียวกัน

           –มีนักการเมืองต้นแบบ หรือไอดอลทางการเมือง ทั้งในและต่างประเทศ ใครบ้าง เพราะอะไร?

          นักการเมืองที่เน่ชื่นชมในไทยคือ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ชอบที่ท่านเป็นมากกว่าเป็นนักการเมือง ท่านเป็นนักปราชญ์ นักเขียน และศิลปิน ในระดับศิลปินแห่งชาติเลยนะ  ทางยูเนสโกเองก็ได้มอบให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกในสาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์และสื่อสารมวลชน ซึ่งทั้ง 4 สาขานี้ล้วนเป็นความสนใจของเน่ทั้งนั้น เราเลยมองท่านม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นไอดอล

          ท่านเป็นแบบอย่างที่ทำให้เห็นว่า โลกการเมืองต้องการคนที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่ใช่คนที่มองในมุม Hard side เช่น กฎหมาย ความมั่นคง เศรษฐกิจ อย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านเลนส์ด้าน Soft side เช่น ศิลปะ และ วัฒนธรรมด้วย  มันจะทำให้ทัศนคติและการตัดสินใจรอบด้านมากขึ้น  เราอยากเป็นให้ได้อย่างท่าน

          และถ้าจะให้กล่าวถึงอีกท่านในต่างประเทศที่เน่ชื่นชมคือ เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เพราะเป็นแบบอย่างของความมุ่งมั่น ตั้งใจ อดทน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

การเมืองในยุคหลังนี้ไม่เหมือนเดิม คนเห็นต่างกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ไม่มีการยกมือไหว้กัน ไม่มีการยิ้มให้แก่กันได้ มันเป็นเพราะอะไร… เพราะเรามีทิฐิต่อกันมากขึ้นหรือ? เพราะเรามีเป้าหมายที่แตกต่างกันแล้วหรือ? หากใช่ ถ้างั้นเป้าหมายของเราทุกคนคืออะไร? ปัญหานี้มันบ่มเพาะมานานแล้ว  ปากเราบอกกันว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่เรากลับไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้นไม่ได้มีแค่คำว่า “เสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อย” แต่มันมีคำว่า “การรับฟัง และเคารพต่อความเห็นต่าง” ด้วย  เราลืมกันไปหมดแล้ว

          ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่คนไทยเราเองแตกแยกจากกันด้วยอุดมการณ์และความเชื่อ มันเป็นความแตกแยกที่อยู่ในใจและความคิดค่ะ แต่ที่แอฟริกา มันรุนแรงกว่านี้มาก คนขาวและคนดำแตกแยกและไร้ซึ่งความเท่าเทียมในทุกเรื่อง และทุกๆ อริยาบทของการดำเนินชีวิต ตั้งแต่กฎหมายไปจนถึง mind set ของคน ส่งเสริมให้การแตกแยกไม่เพียงแค่คงอยู่ แต่ให้ทวีคูณมากขึ้นทุกๆ วัน ท่านต่อสู้ด้วยสันติวิธี แม้ในช่วงเวลาที่ถูกจองจำถึง 27 ปีและ spirit ของความเป็นนักสู้ เป้าหมายที่อยากให้ประเทศของเขา และคนในประเทศมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ได้ถูกลดทอนลงไปเลย มันเป็นความมุ่งมันที่สร้างแรงบรรดาลในให้เน่เป็นอย่างมาก และที่สำคัญ ท่านเลือกใช้ Soft Power ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น

          หากใครได้ดูหนังเรื่อง Invictus จะทราบว่า เนลสัน แมนเดลา เริ่มละลายความแตกแยกจากกีฬารักบี้ ซึ่งในวันนั้นมันคือกีฬาของคนขาว การที่ท่านเป็นคนผิวดำ เข้าไปสนับสนุนกีฬานี้ แรงเสียดทานมันช่างมากเหลือเกิน แต่ก็ทำคนสำเร็จและสร้าง Symbol ของการเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนได้เห็น บางทีการเปลี่ยนแปลง การแก้ปัญหา มันไม่ต้องเริ่มต้นที่การปะทะกันนะ เราเริ่มจากจุดเล็กๆ เพาะเมล็ดพันธ์แล้วฟูมฟักให้การเปลี่ยนแปลงมันงอกเงย วิธีนี้ทำได้จริง เนลสัน แมนเดลา  ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

                                                                             โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร

-- advertisement --