-- advertisement --

ดูเหมือนว่ากระบวนการทั้งหมดจะสามารถเดินหน้าไปได้ตามแผน แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถใช้ตั๋วรวมได้เช่นเคย จนล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2565 สนข.ได้จัดสัมมนาโครงการศึกษาจัดทำแผนการกำกับการบริหารรระบบตั๋วร่วม ครั้งที่ 3 โดย กรุณา เนียมเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สนข. ระบุว่า ขณะนี้ สนข.อยู่ระหว่างเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการตั๋วร่วม พ.ศ. … ไปยังคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ที่มีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เป็นประธาน ในเดือน ม.ค.2566 ก่อนเสนอ ครม. คาดว่าตามกระบวนการจะแล้วเสร็จเพื่อประกาศใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมดังกล่าวภายในปลายปี 2566 พร้อมเริ่มต้นการประกาศใช้อัตราราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

พร้อมยังระบุอีกว่า ภายในปี 2570 ประชาชนจะสามารถใช้ระบบตั๋วร่วมที่กำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยระบบรถไฟฟ้าจะเป็นโครงข่ายขนส่งสาธารณะหลักที่กำหนดให้มีการจัดเก็บค่าแรกเข้าครั้งเดียว ซึ่ง สนข.จะเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าในปัจจุบัน เพื่อขอความร่วมมือเข้าร่วมระบบ CCH เพื่อเป็นประโยชน์ให้การคำนวณการชดเชยรายได้ของเอกชน และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการถือบัตรรถไฟฟ้าเพียงใบเดียว

“หลัง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมมีผลบังคับใช้ ก็จะนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ซึ่งส่วนนี้จะนำมาสนับสนุนรายได้ค่าโดยสารของเอกชนที่จะขาดหายไปจากการกำหนดอัตราตั๋วร่วมในมาตรฐานเดียวกัน และจากการบังคับใช้ส่วนลดค่าแรกเข้ารถไฟฟ้าข้ามสายที่จะเกิดขึ้น เพื่อทำให้สัญญาสัมปทานที่มีเอกชนไม่ได้รับผลกระทบ แต่ขณะที่ประชาชนได้ประโยชน์จากการจัดเก็บค่าแรกเข้าครั้งเดียว ค่าโดยสารถูกลง” น.ส.กรุณากล่าว

นอกจากนี้ สนข.จะจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม โดยนำรายได้จากหลายส่วน อาทิ การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ ส่วนแบ่งรายได้หรือผลประโยชน์ตอบแทนของผู้ให้บริการขนส่งรายใหม่ เมื่อสัญญาสัมปทานมีข้อสัญญาให้ต้องส่งเงินเข้ากองทุน ส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการตั๋วร่วม และเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน เป็นต้น โดยเบื้องต้น สนข.ประเมินว่าจะต้องใช้เงินจากกองทุนดังกล่าวเพื่อสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรถไฟฟ้าที่มีรายได้ลดลงเฉลี่ย 1,300-1,500 ล้านบาทต่อปี

ในเบื้องต้น สนข.ศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม หรืออัตราค่าโดยสารเดียว สำหรับรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยศึกษาจากพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสาร พบอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมจะเริ่มต้นที่ 14 บาท และเพดานสูงสุดขั้นแรกที่ 42 บาท แต่หากมีการเดินทางข้ามระบบรถไฟฟ้าในพื้นที่ปริมณฑล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวเส้นทางยาว จึงประเมินว่าการเดินทาง 36 กิโลเมตรขึ้นไป จะมีอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 65 บาท ทั้งระบบขนส่งสาธารณะ

หลังจากนี้คงต้องมาลุ้นกันว่า ระบบตั๋วร่วมที่ภาครัฐผลักดันกันมากว่า 10 ปีนั้นจะสามารถใช้ได้จริงตามที่กระทรวงคมนาคมได้ระบุไว้หรือไม่ หรือจะเป็นแค่ขายฝันเหมือนอดีตที่ผ่านมา.

บุญช่วย ค้ายาดี

-- advertisement --